คดีอากง ของ อำพล ตั้งนพกุล

คดีระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด กับนายอำพล ตั้งนพกุล
สาระแห่งคดี
คำฟ้องจำเลยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่พิมพ์ส่งข้อความอันน่าจะทำให้พระมหากษัตริย์ พระราชินีนาถ และรัชทายาทถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง และเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
คำขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2) (3)
คู่ความ
โจทก์พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด
จำเลยอำพล ตั้งนพกุล
ศาล
ศาลศาลอาญา
ผู้พิพากษาชนาธิป เหมือนพะวงศ์
ภัทรวรรณ ทรงกำพล
คำพิพากษา
คำพิพากษาคำพิพากษาศาลอาญา ในคดีหมายเลขแดงที่ อ. 4726/2554
พิพากษา
" ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 20 ปี "
คดีหมายเลขดำที่อ. 311/2554
คดีหมายเลขแดงที่อ.4726/2554
ลงวันที่23 พฤศจิกายน 2554
กฎหมายประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2) (3)

การเริ่มคดี

ในกลางปี 2553 สมเกียรติ ครองวัฒนสุข กล่าวโทษต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ("ปอท.") สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า มีบุคคลส่งข้อความสี่ฉบับมาให้เขาทางโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยมีลักษณะน่าจะเป็นความผิดตามกฎหมาย ปอท. จึงตั้งพันตำรวจเอก ศิริพงษ์ ตินลา, พันตำรวจโท ธีรเดช ธรรมสุธีร์ และร้อยตำรวจเอก ศักดิ์ชัย ไกรวีระเดชาชัย สามคน เป็นพนักงานสอบสวน[5][6]

คณะพนักงานสอบสวนสืบทราบว่า เลขหมายโทรศัพท์ที่ส่งข้อความนั้นเป็นของอำพล จึงขอหมายจับจากศาลอาญา ได้หมายจับที่ 1659/2553 ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2553[5] ครั้นแล้ว คณะเจ้าพนักงานตำรวจ ประกอบด้วย พลตำรวจโท ไถง ปราศจากศัตรู กับพวก ติดตามไปจับอำพลได้ที่ห้องเช่าในวันที่ 3 สิงหาคม 2553 พร้อมยึดทรัพย์สินของอำพล ประกอบด้วย โทรศัพท์เคลื่อนที่สามเครื่อง พร้อมซิมการ์ด และระบบอุปกรณ์สายเสียง เป็นของกลาง[6] ศาลอาญาสั่งขังอำพลไว้ที่เรือนจำกลางคลองเปรม ญาติอำพลขอให้ปล่อยชั่วคราว ศาลอาญาไม่อนุญาต ญาติอุทธรณ์เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2553 ศาลอุทธรณ์อนุญาต อำพลถูกขังไว้เป็นเวลาหกสิบสามวันจึงได้รับการปล่อยชั่วคราวเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2553[5]

พลตำรวจโท ไถง แถลงข่าวว่า ในชั้นสอบสวน อำพลปฏิเสธข้อหา แต่รับว่า เป็นเจ้าของโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง ทว่า เลิกใช้นานแล้ว กับทั้งอ้างว่า ส่งข้อความทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่เป็น และไม่ทราบเลขหมายโทรศัพท์ของบุคคลสำคัญ พลตำรวจโท ไถง ยังว่า เขาเชื่อว่าอำพลเป็นสมาชิกแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ("นปช.") และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรได้ขึ้นอำพลไว้ในบัญชีดำแล้ว[5]

การฟ้องคดี

ต่อมา วันที่ 18 มกราคม 2554[7] พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญา 7 สำนักงานอัยการสูงสุด ฟ้องอำพลเป็นจำเลยต่อศาลอาญาหาว่า อำพลได้ใช้โทรศัพท์มือถือหมายเลข 08-1349-3615 ซึ่งมีอัตลักษณ์อุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่สากล (International Mobile Equipment Identity) หรือไอมี (IMEI) คือ 358906000230110 ส่งข้อความสั้นจำนวนสี่ข้อความเข้าสู่โทรศัพท์มือถือหมายเลข 08-1425-5599 ของสมเกียรติ ครองวัฒนสุข ในเวลากลางวันของวันต่าง ๆ กัน

พนักงานอัยการขอให้ศาลลงโทษอำพลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 (หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์และพระราชินี) กับทั้งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2) และ (3) (นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมหรือเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อผู้อื่น ประชาชน หรือความมั่นคงของประเทศ)

ศาลอาญารับฟ้อง ตั้งชนาธิป เหมือนพะวงศ์ และภัทรวรรณ ทรงกำพล สองคน เป็นองค์คณะพิจารณาคดี[5][6] แล้วตรวจพยานในวันที่ 21 มีนาคม 2554[7] ระหว่างนั้น ได้สั่งขังอำพลอีกครั้งโดยเห็นว่า "การกระทำต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินีและองค์รัชทายาท นับเป็นเรื่องร้ายแรงและกระทบความรู้สึกของปวงชนชาวไทย"[5] ญาติและทนายความฝ่ายจำเลยคัดค้านว่า จำเลยไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ปฏิบัติตามคำสั่งศาลมิเคยบิดพลิ้ว กับทั้งจำเลยอายุมากและมีโรคประจำตัว การขังย่อมเป็นผลเสียต่อสุขภาพของเขาและเป็นอุปสรรคในการสู้คดี ตลอดจนขัดต่อรัฐธรรมนูญที่รับรองสิทธิได้รับการปล่อยชั่วคราวด้วย ศาลอาญายกคำร้องคัดค้าน ทนายความขอให้ปล่อยชั่วคราวอีกหลายครั้ง ศาลอาญายกคำขอทุกครั้ง[5]

การพิจารณาและพิพากษา

ศาลอาญากำหนดสืบพยานทั้งสิ้นสี่นัด คือ ในวันที่ 23 กันยายน 2554, 27 กันยายน 2554, 28 กันยายน 2554 และ 30 กันยายน 2554 สามนัดแรกเป็นการสืบพยานโจทก์ นัดหลังสุดพยานจำเลย ตามลำดับ[5]

ในการสืบพยานโจทก์ โจทก์นำสมเกียรติ ครองวัฒนสุข ผู้กล่าวโทษ, บรรดาพนักงานสอบสวนผู้ทำคดีนี้, บุตรสาวทั้งสองของอำพล, ธรรมนูญ อิ่มทั่ว เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบจัดเก็บของคอมพิวเตอร์ บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) กับนายจักรพันธ์ จุมพลภักดี เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลตัวผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ บริษัททรู มูฟ จำกัด มาเบิกความเป็นพยาน สรุปว่า สมเกียรติได้รับข้อความทั้งสี่จากเลขหมายไม่ทราบเจ้าของ จึงถ่ายภาพหน้าจอโทรศัพท์เก็บไว้ แล้วกล่าวโทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ นำมาสู่การสืบสวนคดีและจับกุมอำพล โดยเจ้าพนักงานตำรวจตรวจสอบไปยังบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แล้ว เชื่อว่า เลขหมายดังกล่าวเป็นของอำพล ไอมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบุได้เช่นนั้นและปลอมแปลงกันมิได้ ขณะที่ในการสืบพยานจำเลย จำเลยนำทนายความของตนและญาติพี่น้องเข้าสืบ โดยยืนยันเช่นเดียวกับครั้งปฏิเสธข้อหาในชั้นสอบสวน และยืนยันว่าตนมีความเคารพพระมหากษัตริย์และพระราชินี[5]

ศาลอาญาพิจารณาแล้วเห็นว่า[6]

"แม้โจทก์จะไม่สามารถนำสืบแสดงให้เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า จำเลยเป็นผู้ที่ส่งข้อความตามฟ้อง...ก็ตาม แต่ก็เพราะเป็นการยากที่โจทก์จะสามารถนำสืบด้วยประจักษ์พยาน เนื่องจากผู้ที่กระทำความผิดที่มีลักษณะร้ายแรงดังกล่าวย่อมจะต้องปกปิดการกระทำของตนมิให้บุคคลอื่นได้ล่วงรู้ ทั้งจะอาศัยโอกาสกระทำเมื่อไม่มีผู้ใดรู้เห็น จึงจำเป็นต้องอาศัยเหตุผลจากพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีที่โจทก์นำสืบเป็นเครื่องชี้วัดให้เห็นถึงการกระทำและเจตนาซึ่งอยู่ภายใน ซึ่งจากพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีที่โจทก์นำสืบมาทั้งหมดนั้น ก็สามารถนำสืบแสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์ทั้งหมดซึ่งบ่งชี้อย่างใกล้ชิดและสมเหตุสมผลโดยไม่มีข้อพิรุธใด ๆ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาทั้งหมดประกอบกันจึงมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า ในช่วงเวลาเกิดเหตุ จำเลยเป็นผู้ส่งข้อความทั้งสี่ข้อความตามฟ้อง...ซึ่งข้อความดังกล่าวมีลักษณะที่เป็นการดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้าย และเป็นการใส่ความหมิ่นประมาท โดยประการที่จะน่าทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ทรงเสื่อมเสียพระเกียรติยศต่อชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง...ข้อความดังกล่าวล้วนไม่เป็นความจริง เพราะข้อเท็จจริงที่ประจักษ์แก่ประชาชนทั้งประเทศว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ทั้งสองพระองค์ ทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา...จำเลยจึงมีความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง"

พิพากษาว่า อำพลมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กับทั้งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2) และ (3) การส่งข้อความสี่ฉบับไปในวันเวลาต่างกันเป็นการกระทำความผิดต่อกฎหมายสี่กรรม ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันเป็นบทหนักที่สุดเพียงบทเดียว เรียงกระทงไปทุกกรรม โดยลงโทษจำคุกกระทงละห้าปี รวมเป็นจำคุกทั้งสิ้นยี่สิบปี[5][6]

คำพิพากษาดังกล่าวอ่านเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2554 จากศาลอาญาผ่านระบบประชุมทางวีดิทัศน์ (videoconferencing) ไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เนื่องจากอุทกภัยใหญ่ในครั้งนั้นทำให้ไม่อาจเบิกตัวอำพลมาขึ้นศาลได้[5]

อุทธรณ์

อำพลอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลอาญาต่อศาลอุทธรณ์ ศาลอาญาให้ขังเขาไว้ระหว่างอุทธรณ์ อำพลขอให้ศาลอุทธรณ์ปล่อยชั่วคราว ศาลอุทธรณ์ยกคำขอ เขาฎีกา ศาลฎีกายืนเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2555 อำพลสิ้นหวัง จึงเห็นว่า จะไม่ได้รับการปล่อยตัวอีก และเลิกอุทธรณ์คำพิพากษา โดยหันไปขอให้พระมหากษัตริย์อภัยโทษแทน เมื่อเขาไม่อุทธรณ์อีก คดีจึงถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอาญา และศาลอาญาออกหมายคดีสิ้นสุดเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2555 เขาต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดดังกล่าว[2]

ปฏิกิริยา

วิกิคำคมมีคำคมเกี่ยวกับ คดีอากง

คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลแห่งเอเชียว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแสดงความเห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ถูกใช้เป็นเครื่องมือละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกโดยอ้างความมุ่งหมายในการคุ้มครองความมั่นคงของรัฐ และเรียกร้องให้อนุญาตให้ปล่อยอำพลชั่วคราวระหว่างพิจารณาได้[8]

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนว่า กระบวนการขอให้ปล่อยชั่วคราวตลอดจนการพิจารณาเฉพาะในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะพบอุปสรรคมากมาย[8] ขณะที่คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยว่า ประเทศไทยควรใช้กฎหมายโดยไม่เลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม[8]

หนังสือพิมพ์ เดอะการ์เดียน (The Guardian) รายงานว่า โทษจำคุกยี่สิบปีของอำพลนั้นหนักที่สุดเท่าที่เคยมีมาในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112[3]

ในรายการ ตอบโจทย์ ซึ่งใช้หัวเรื่องว่า "คดีอากงกับมาตรา 112" และออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2554 พนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งข้อสังเกตว่า ในการพิจารณาคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ได้มีการรักษาความยุติธรรมไว้มากน้อยเพียงไร และประชาชนเชื่อมั่นได้สักเท่าไรว่าจะได้รับความยุติธรรม โดยเฉพาะเมื่อมักดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นการลับแล้วด้วย[9] ขณะที่นิธิ เอียวศรีวงศ์ กล่าวว่า สะเทือนใจที่ศาลลงโทษจำคุกเป็นเวลายาวนานแก่อำพลซึ่งชราภาพและเป็นมะเร็ง และกล่าวว่า ต้องการเตือนว่า "ความยุติธรรมไม่ได้ลอยอยู่บนฟ้า แต่เป็นความเห็นของมนุษย์ในสังคมแต่ละยุคแต่ละสมัยแต่ละแห่ง...การที่คนมันขยับเขยื้อนกันมากมายเหลือเกินในสังคมจากกรณีอากง มันชี้ให้เห็นว่า ทัศนะต่อความยุติธรรมของไทย มาตรฐานที่ครั้งหนึ่งเคยถือว่าเป็นความยุติธรรม สังคมไทยไม่ได้เห็นอย่างนั้นแล้ว จริง ๆ อากงนี่ถ้าอยู่สมัยอยุธยานี่เอามะพร้าวห้าวยัดปากนะ..."[9]

ในบทความ อากงปลงไม่ตก สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม ว่า "...ตามฟ้อง จำเลยอายุหกสิบเอ็ดปี มิได้แก่ชราจนต้องอยู่ในความอนุบาลดูแลของผู้ใด...มิได้แก่เฒ่าคราวปู่ทวด สำหรับบุคคลที่เจนโลกโชกโชน สันดานเป็นโจรผู้ร้าย มีเจตนาทำร้ายสังคม สถาบันหลักของประเทศชาติ และองค์พระประมุขอันเป็นที่เคารพสักการะ...ไม่มีใครอยากให้คนเช่นนี้ลอยนวลอยู่ในสังคมเพื่อสร้างความเสียหายต่อเนื่องหรือแก่ผู้อื่นอีก..."[10] เขาแสดงความคิดเห็นต่อกรณีที่ศาลอาญามิได้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่อำพลว่า "…ถ้าคดีใดอัยการโจทก์สามารถนำสืบพิสูจน์จนให้ศาลเห็นและเชื่อได้ว่า จำเลยมีเจตนาชั่วร้าย...จำเลยในคดีนั้นก็สมควรที่จะได้รับโทษานุโทษตามความเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี..."[11] และเห็นว่า พฤติกรรมที่เชื่อว่าเป็นของอำพลตามคำฟ้องนั้นร้ายแรงเสมือนน้ำผึ้งหยดเดียวที่อาจนำไปสู่ความเสียหายใหญ่หลวงได้[10]

แหล่งที่มา

WikiPedia: อำพล ตั้งนพกุล http://www.posttoday.com/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%... http://www.posttoday.com/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%... http://www.posttoday.com/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%... http://www.posttoday.com/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%... http://www.posttoday.com/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%... http://prachatai.com/category/%E0%B8%AD%E0%B8%B3%E... http://news.sanook.com/1117480/%E0%B9%80%E0%B8%AA%... http://www.thejakartaglobe.com/international/thai-... http://www.youtube.com/watch?v=2K4-lk9RoVo http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E...